สับปะรด กินยังไงให้หุ่นดี ชะลอวัย ห่างไกล โรคเบาหวาน
สับปะรด เป็นผลไม้ที่อร่อย-ราคาต่ำ-หาซื้อง่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านผลไม้รถเข็น ตลาดสด ศูนย์อาหาร หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เราสามารถจะหากินสับปะรดได้ทุกที่และทั้งวัน แต่สับปะรดก็เหมือนอาหารตามธรรมชาติอื่นๆ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าจะกินสับปะรดยังไง กินส่วนไหนบ้าง กินเท่าไหร่ และกินตอนไหนดีที่สุด ให้ฟังกันครับ
โรคเบาหวานที่มีอันตรายที่สุด คือ โรคแทรกซ้อนที่ตามมา
ข้อมูลโภชนาการของสับปะรด
ในสับปะรด 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะมีส่วนประกอบ ดังนี้
สารอาหารหลัก (Macronutrient)
- คาร์โบไฮเดรต 94%
- ไขมัน 2%
- โปรตีน 4%
- ให้พลังงาน 50 kCal
- กากใยอาหาร 1.4 กรัม
- น้ำตาล 9.8 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้าสาม 17 มิลลิกรัม
- กรดไขมันโอเมก้าหก 23 มิลลิกรัม
สารอาหารรอง (Micronutrient)
- มีวิตามินซี 47.8 มิลลิกรัม
- มีวิตามินบีหก 0.1 มิลลิกรัม
- มีไธอะมิน 0.1 มิลลิกรัม
- มีโฟเลท 18 ไมโครกรัม
- มีวิตามินเค 0.7 ไมโครกรัม
- มีวิตามินเอ 58 หน่วยวัดมาตรฐานสากล
- มีแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
- มีเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม
- มีแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม
- มีโพแทสเซียม 109 มิลลิกรัม
- มีฟอสฟอรัส 0.8 มิลลกรัม
- มีโซเดียม 1 มิลลิกรัม
- มีสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม
- มีแมงกานีส 0.9 มิลลิกรัม
- มีเซเลเนียม 0.1 ไมโครกรัม
โบรมิเลน (Bromelein)
คือเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่พบมากบริเวณแกนของสับปะรดและในเนื้ออีกเล็กน้อย มีฤทธิ์ช่วยย่อยโปรตีนและยังมีประโยชน์อื่นๆ กับร่างกายอีก เช่น
- ช่วยลดอาการไซนัสอักเสบ
- ช่วยต่อต้านการอักเสบ
- ช่วยทำให้อาการของข้อเข่าเสื่อมดีขึ้น
- ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
- ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น
- ช่วยลดไขมันส่วนเกิน
- ช่วยชะลอการเกิดลิ่มเลือด
จะเห็นว่าสับปะรดมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ทีนี้เรามาดูวิธีการกันดีกว่าว่าจะกินยังไงให้หุ่นดี ชะลอวัย ห่างไกลโรคเสื่อม โดยเฉพาะโรคเบาหวานนะครับ
กินจุกจิก | อ้วน เบาหวาน ความดันสูง
วิธีรับประทานสับปะรด
กินส่วนไหนดี
ให้เลือกกินทั้งเนื้อสับปะรดและแกนสับปะรดในสัดส่วนเท่ากัน กินสับปะรด 1 ชิ้น กินแกนสับปะรด 1 ชิ้น เพราะในแกนมีกากใยอาหารและโบรมิเลนมากกว่า
กินแบบไหนดี
ให้เลือกกินสับปะรดแบบสด หลีกเลี่ยงน้ำสับปะรดหรือแบบคั้นแยกกาก เพราะเราไม่รู้ว่าร้านค้าใส่ส่วนไหนมาให้เรากินบ้าง เติมอะไรมาให้เราบ้าง และที่สำคัญเราต้องการกากใยในการกินด้วย
กินเท่าไหร่ดี
ให้เลือกกิน 1-2 ชิ้น ต่อวันเท่านั้น เพราะสับปะรด 1 ชิ้น หรือ 100 กรัม ถึงแม้จะมีแคลลอรีต่ำ แค่ 50 แคลเอง แต่มีน้ำตาลประมาณ 10 กรัม ถ้าคุณใส่ใจแค่อ้วนหรือไม่อ้วน คุณจะกินเท่าไหร่ก็ได้เพราะแคลลอรีมันน้อย แต่ถ้าคุณอยากดูดีด้วย ห่างไกลโรคด้วย คุณต้องรู้อะไรที่มากกว่านั้น
กินตอนไหนดี
ให้เลือกกินสับปะรดพร้อมมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหารทันที เพราะเอนไซม์โพรมิเลนจะได้ช่วยย่อยโปรตีน ส่วนไฟเบอร์ และวิตามินจะได้ดูดซึมพร้อมมื้ออาหาร
น้ำตาล ต่อวัน ไม่ควรเกินกี่กรัม กี่ช้อนโต๊ะ
สรุป
1 ชิ้น ประมาณ 100 กรัม มีน้ำตาล 10 กรัม แคลลอรี่ 50 kCal มีวิตามินซีและแมงกานีสสูง มีกากใยอาหารนิดหน่อย และที่แกนมีเอนไซม์โบรมิเลนสูง
ประโยชน์มากมายสารพัด แต่ที่เด่นๆ เลยคือช่วยย่อยโปรตีน ช่วยต่อต้านการอักเสบ และชะลอการเกิดลิ่มเลือด
วิธีกินแบบที่ดีที่สุด คือ กินเนื้อพร้อมแกนเท่ากัน วันละ 1-2 ชิ้น พร้อมหรือหลังมื้ออาหารทันที
เบาหวาน หายได้ไหม | 3 วิธีรักษาให้หายขาด ไม่กินยา
อาหารเสริมช่วยย่อยอาหาร
เอนไซม์ช่วยย่อย คือ โปรตีนชนิดนึงที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารที่คุณรับประทานเข้าไป ปกติแล้วร่างกายเราก็สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นการสร้างก็ลดลงทำให้มีปัญหาต่างๆ ตามมาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
Wellness Hub – Digest | อาหารเสริมเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารเกรดการแพทย์ มีรายละเอียด ดังนี้
ส่วนประกอบ
- Amylase = 7,200U
- Protease = 1,800U
- Lactase = 1,200U
- Lipase = 300U
- Cellulase = 60U
- Bromelain = 120GDU
- Pepsin 1:3000 NF = 50mg
- Trypsin = 12,500IU
ประโยชน์
- มีส่วนช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
- มีส่วนช่วยทำให้ระบบภูมิต้านทานดีขึ้น
- มีส่วนช่วยลดการอักเสบของร่างกาย
- มีส่วนช่วยทำให้สุขภาพตับดีขึ้น
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคลำไส้แปรปรวน
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคข้อต่ออักเสบ
- มีส่วนช่วยป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ
- มีส่วนช่วยป้องกันความคิดเพ้อฝัน หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง
หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจเซลล์ของคุณ
ในหนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ร่างกายของตัวเอง ว่าทำงานยังไง อะไรบ้างที่ทำให้แก่เร็ว อะไรบ้างที่ทำให้แก่ช้า และสุดท้ายจะทำยังไงให้ชะลอความแก่ชราออกไปให้นานที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ ผ่านจากเรียนรู้ทั้งหมด 7 บท คือ
- เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine)
- ทฤษฎีความชราในอดีต (Aging Theory in The Past)
- ทฤษฎีความชราในปัจจุบัน (Aging Theory in The Present)
- ปัจจัยที่เหนือกว่าพันธุกรรม (Epigenetic)
- ปัจจัยที่เร่งการแก่ชรา (Aging Force)
- ปัจจัยที่ยับยั้งการแก่ชรา (Anti-Aging Force)
- ใช้ชีวิตยังไงให้ชะลอวัย (How to Anti-Aging)