ข้าวเหนียวมะม่วง 1 จาน เซลล์ได้กินอะไรบ้าง
ข้าวเหนียวมะม่วง (Thai Mango Sticky Rice) คือ ขนมหวานของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เป็น 1 ในขนมหวานที่ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกให้การยอมรับว่าอร่อย ใครได้ชิมก็มักจะติดใจ
วันนี้เรามาลองดูกันว่าเรากินข้าวเหนียวมะม่วง 1 จาน แล้วเซลล์เราจะได้กินอะไรบ้างกันครับ
ข้าวเหนียวมะม่วง 1 จาน ประกอบไปด้วย
- ข้าวเหนียวมูน
- มะม่วงสุก
- น้ำกะทิ
- ถั่วเหลือง
ข้าวเหนียวมะม่วง | สารอาหารหลัก
สารอาหารหลัก (Macronutrients) คือ สารอาหารที่ให้พลังงานและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) = 82%
- ไขมัน (Fat) = 14%
- โปรตีน (Protein) = 4%
1 จานของข้าวเหนียวมะม่วงให้พลังงานเท่ากับ 440 กิโลแคลอรี่ หรือเทียบเท่ากับข้าวขาหมู 1 จาน
โดยที่ในรายละเอียดแต่ละอย่างมีส่วนประกอบ ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรต
- กากใยอาหาร = 2.2 กรัม
- น้ำตาล = 28 กรัม
- ไขมัน
- กรดไขมันอิ่มตัว = 21.6 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-6 = 0.4 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-9 = 1.2 กรัม
- โปรตีน = 5 กรัม
สรุป 1 จาน ให้พลังงานสูง มีน้ำตาลสูง มีไขมันอิ่มตัวสูง แต่ไม่มีคอเลสเตอรอล
ข้าวเหนียวมะม่วง | สารอะไรรอง
สารอาหารรอง (Micronutrients) คือ สารอาหารที่ไม่ให้พลังงานและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จำเป็นต่อฟังก์ชันการทำงานของเซลล์ ดังนี้
- Vitamin A = 7.9 %
- Vitamin B-12 = 0.0 %
- Vitamin B-6 = 6.1 %DV
- Vitamin C = 24.8 %DV
- Vitamin D = 0 %DV
- Vitamin E = 3.0 %DV
- Calcium = 1.9 %DV
- Copper = 10.5 %DV
- Folate = 9.5 %DV
- Iron = 13.4 %DV
- Magnesium = 8.8 %DV
- Manganese = 31.7 %DV
- Niacin = 6.2 %DV
- Pantothenic Acid = 3.2 %DV
- Phosphorus = 7.7 %DV
- Riboflavin = 2.1 %DV
- Selenium = 4.7 %DV
- Thiamin = 7.1 %DV
- Zinc = 3.5 %DV
%DV (Percent Daily Value) คือ สัดส่วนเมื่อเทียบกับคำแนะนำในแต่ละวัน ที่ความต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่/วัน
สรุป 1 จาน ให้วิตามินซีสูงและแมงกานีสสูง
ข้าวเหนียวมะม่วง | วิธีกินให้ชะลอวัย
อาหารอร่อย เครื่องดื่มอร่อย ขนมอร่อย … เป็นรสชาติของชีวิต เป็นศิลปะของมนุษย์ ของอร่อยใครๆ ก็อยากกินและก็อยากอยู่กินไปนานๆ อยู่กินไปแบบไม่เจ็บไม่ป่วยด้วย เทคนิคในการกินให้ชะลอวัย คือ
- กินเป็นอย่างสุดท้ายของมื้อ อย่ากินเป็นอาหารหลัก ให้กินเป็นอาหารรอง ให้กินเป็นขนมเสริมท้าย
- กินให้เสร็จเป็นมื้อๆ อย่ากินจุกจิก อย่าค่อยๆ ตักกินทีละนิด กินทีละช้อน แต่กินทั้งวัน
- เสริมกากใยอาหาร (Dietary Fiber) เข้าไปเพื่อลดความเร็วในการดูดซึมน้ำตาล (GI : Glycemic Index) เช่น พรีไบโอติก ถั่วเหลือง ธัญพืช เป็นต้น
- ควบคุมช่วงเวลาในการอดกินให้นานกว่าช่วงเวลาในการกิน (IF : Intermittent Fasting)
พรีไบโอติก (Prebiotic) ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล
Good Gut คือ อาหารเสริมใยอาหารประเภทละลายน้ำ (Water Soluble Dietary Fiber) ชนิดพาร์เชียลลี ไฮโดรไลซ์ กัวร์กัม (PHGG : Partially Hydrolyzed Guar Gum) ที่สกัดมาจากเมล็ดกัวร์ (Guar Bean) ประเทศญี่ปุ่น ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้มายาวนานกว่า 35 ปี ทำให้มั่นใจได้ว่ามาจากธรรมชาติ ปราศจากพืชดัดแปลงพันธุกรรม การสังเคราะห์ และปลอดภัยจากสารพิษต่างๆ
ได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและด้านอาหาร ดังนี้
- FDA | องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา
- Low – FODMAP | อาหารย่อยง่าย ไม่ท้องอืด ไม่ท้องผูก ไม่ท้องเฟ้อ ไม่ท้องเสีย ไม่ปวดท้อง
- GMO Free | ไม่มีพืชดัดแปลงพันธุกรรม
- Allergen Free | ไม่ทำให้เกิดการแพ้
- VEGAN | มาตรฐานอาหารเจ – มังสวิรัติ – วีแกน
- HALAL | มาตรฐานอาหารอิสลาม
- KOSHER | มาตรฐานอาหารยิว
มีงานวิจัยเฉพาะของ PHGG (Partially Hydrolyzed Guar Gum) ทั้งในหลอดทดลอง ในสิ่งมีชีวิต และในมนุษย์ ว่ามีคุณประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
- มีส่วนช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
- มีส่วนช่วยทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรง
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคอ้วน
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคท้องผูก
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคท้องเสีย
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคลำไส้แปรปรวน (IBS: Irritable Bowel Sysdrome)
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD: Inflammatory Bowel Disease)
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้
- มีส่วนช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
- มีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุ
- มีส่วนช่วยเพิ่มกรดไขมันสายสั้น (SCFAs: Short-Chain Fatty Acids) ในลำไส้
- มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือด
- มีส่วนช่วยลดค่าดัชนีน้ำตาล (GI: Glycemic Index)
- มีส่วนช่วยลดความโหยหลังจากมื้ออาหาร
- มีส่วนช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย
- มีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C: Hemoglobin A1C)
ละลายน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดื่มวันละ 1 ซอง
หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจเซลล์ของคุณ
ในหนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ร่างกายของตัวเอง ว่าทำงานยังไง อะไรบ้างที่ทำให้แก่เร็ว อะไรบ้างที่ทำให้แก่ช้า และสุดท้ายจะทำยังไงให้ชะลอความแก่ชราออกไปให้นานที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ ผ่านจากเรียนรู้ทั้งหมด 7 บท คือ
- เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine)
- ทฤษฎีความชราในอดีต (Aging Theory in The Past)
- ทฤษฎีความชราในปัจจุบัน (Aging Theory in The Present)
- ปัจจัยที่เหนือกว่าพันธุกรรม (Epigenetic)
- ปัจจัยที่เร่งการแก่ชรา (Aging Force)
- ปัจจัยที่ยับยั้งการแก่ชรา (Anti-Aging Force)
- ใช้ชีวิตยังไงให้ชะลอวัย (How to Anti-Aging)