เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน ในไทยหรือต่างประเทศ
เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน ???
คนธรรมดาทั่วไปที่สนใจอยากเรียนรู้ คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ เมื่อสนใจเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine) แล้วจะไปเรียนที่ไหน ในประเทศไทยมีไหมหรือต้องไปเรียนต่างประเทศ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพได้รับความสนใจจากคนไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของรายละเอียดเนื้อหาและในแง่ของการนำเอาความองค์ความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด ไปใช้หลอกลวงผู้คน วันนี้ผมจะไม่ได้พูดถึงอย่างหลังนะครับ จะพูดถึงเฉพาะแก่นขององค์ความรู้จริงๆ เท่านั้นว่าจะไปหาเรียนรู้ได้ที่ไหน ส่วนใครจะเอาคำว่า “เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ” ไปใช้ในทิศทางไหนอันนี้ต้องแล้วแต่คนที่เอาไปใช้แล้วว่ายังไง ก็เหมือนบางกลุ่มคนที่เอาคำว่า “FOREX” ไปใช้ในการทำแชร์ลูกโซ่ การเอาคำว่า “Cryptocurrency” ไปใช้ในการหลอกลวงคน โดยเนื้อหาจริงๆ ของมันแล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแชร์ลูกโซ่หรือหลอกคนเลย แต่เพราะคนที่เอาไปใช้ในทางที่ผิดทำให้คนที่โดนหลอกติดภาพลบเกี่ยวกับคำคำนั้นไป
Anti Aging | ภาษาคนธรรมดาที่ไม่ใช่หมอ
เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน
ในการเรียนรู้องค์ความรู้เรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพมีหลายระดับของการเรียนรู้นะครับ อย่างแรกคือคุณต้องรู้ก่อนว่าเวชศาสตร์ชะลอวัยเกี่ยวกับเรื่องราวอยู่ 7 มิติ ดังนี้
- อาหาร (Nutrition)
- อาหารเสริม (Nutraceutical)
- ฮอร์โมน (Hormone)
- การใช้ชีวิตในแต่ละวัน (Lifestyle)
- การออกกำลังกาย (Exercise)
- การแพทย์บูรณาการ (Integrative Medicine)
- ความงาม (Aesthetic)
ระดับของการเรียนรู้ก็มีหลายระดับ ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะของการเรียนรู้ได้เป็น 4 แบบ ดังนี้
- การสัมมนาวิชาการหรือการประชุมวิชาการ (Conference / Congress)
- คอร์สอบรม (Training Course)
- ปริญญาโท (Master Degree)
- ปริญญาเอก (Doctor of Philosophy)
ซึ่งแต่ละแบบก็มีรายละเอียด มีความเข้มข้นของเนื้อหา และเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน
เวชศาสตร์ชะลอวัย | 3 เรื่องที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด
การสัมมนาวิชาการ / การประชุมวิชาการ
สำหรับการประชุมวิชาการมักจะจัดขึ้นปีละครั้ง เป้าหมายเพื่ออัพเดทองค์ความรู้ในมุมต่างๆ จะมีทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (International Conference) ซึ่งองค์กรที่จัดก็มีทั้งของคนไทยและต่างชาติ งานลักษณะนี้จะเหมาะกับคนที่มีความรู้พื้นฐานอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์และคนธรรมดาทั่วไป เพราะในงานประชุมวิชาการจะไม่ได้มาสอนเรื่องพื้นฐานให้คนที่ไม่มีความรู้เลยมีความรู้ขึ้นมา แต่จะมาอัพเดทองค์ความรู้ในมุมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
ยกตัวอย่างงานประชุมวิชาการที่ผมรู้จักบางส่วน (ชื่องานแต่ละปีอาจจะไม่เหมือนกันแต่องค์กรที่จัดงานเป็นองค์กรเดิม)
- 12th Annual A4M Thailand Symposium โดย American Academy of Anti-Aging Medicine
- HEAT Anti-Aging International Symposium โดย Health Education Academics Thailand
- Practical Point in Wellness โดย Dhurakij Pundit University
- Lighting The Future Together โดย Mae Fah Luang University
เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน | คอร์สอบรม
สำหรับคอร์สอบรมจะสำหรับทั้งประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ เป้าหมายคือเพื่อเรียนรู้เรื่องราวแต่ละหัวข้อๆ ไป (ย้อนกลับไปดู 7 มิติหลักของเวชศาสตร์ชะลอวัย) ซึ่งก็เหมือนกันกับการสัมมนาวิชาการคือมีทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษ (International Course) งานลักษณะนี้จะเหมาะกับคนที่สนใจเฉพาะบางส่วนบางหัวข้อ ส่วนจะลงรายละเอียดมากน้อยยังไงก็ต้องแล้วแต่ลักษณะของคอร์สอบรมว่าออกแบบมาลงลึกขนาดไหน จะมีทั้งแบบระยะสั้นวันเดียวจบหรือระยะยาว 3 เดือน 6 เดือน ซึ่งก็แตกต่างกันออกไปของแต่ละองค์กรที่จัดขึ้น
ยกตัวอย่างคอร์สอบรมที่ผมรู้จักบางส่วน (ชื่อคอร์สก็แตกต่างกันออกไป รายละเอียดต้องดูไปในแต่ละคอร์สอบรมอีกที)
- Role of Hormones in Immunocompetency and Longevity โดย American Acedemy of Anti-Aging Medicine
- อบรมหลักสูตรที่ปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์สารเสริมอาหาร โดย Dhurakij Pundit University
- อบรมหลักสูตรโรคผิวหนัง โดย Mae Fah Luang University
- คอร์สอบรมโภชนาการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดย Integrative Funtional Nutrition and Wellness Center
อยากให้บุคคลที่สนใจเข้าไปศึกษารายละเอียดของแต่ละคอร์สอบรมว่าเกี่ยวกับอะไร สำหรับใคร คนธรรมดาทั่วไปหรือบุคลากรทางการแพทย์ เงื่อนไขในการอบรม ระยะเวลาในการอบรม และค่าใช้จ่ายในการอบรม
เวชศาสตร์ชะลอวัย หลอกลวง จริงหรือเปล่า?
เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน | ปริญญาโท
เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่มองมาถึงระดับการเรียนในระดับปริญญาโท (Master Degree) สำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถเลือกไปเรียนในต่างประเทศได้ที่ American Acedemy of Anti-Aging Medicine ซึ่งถ้าในมุมมองของอาชีพการรักษาจำเป็นต้องมีความรู้และใบผ่านการอบรม (Board of Certification) แต่อันนั้นเป็นเรื่องของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ได้เกี่ยวกับเราในฐานะคนธรรมดาทั่วไปที่จะเรียนรู้เพื่อไปดูแลตัวเอง ไม่ใช่เพื่อไปรักษาใคร
สำหรับหลักสูตรปริญญาโทด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพในประเทศไทยมีให้เลือกอยู่ 2 ที่ คือ
- มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU: Dhurakij Pundit University) | สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ในเวปไซต์ และบรรยากาศการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ในเฟสบุ๊ค
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU: Mae Fah Luang University) | สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ในเวปไซต์ และบรรยากาศการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ในเฟสบุ๊ค
เงื่อนไขการสมัครเข้าไปเรียนและเรียนให้จบ มีคร่าวๆ ดังนี้
- สอบข้อเขียนความรู้วิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์ให้ผ่านเพื่อสามารถเข้าไปเรียนได้
- สอบข้อเขียนภาษาอังกฤษให้ผ่านเพื่อสามารถเข้าไปเรียนได้
- สอบสัมภาษณ์ให้ผ่านเพื่อสามารถเข้าไปเรียนได้
- เตรียมงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการเรียน หลักสูตรจริงๆ คือ 2 ปี ค่าใช้จ่ายพื้นฐานคือค่าเทอม รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจจะตามมา เช่น กิจกรรมหรือศึกษาดูงาน
- เตรียมจัดเวลา ส่วนใหญ่ก็จะเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ แน่นอนว่าใน 2 ปีที่มาเรียนนี้ต้องเสียเวลา 2 วันต่ออาทิตย์ ให้เตรียมบริหารจัดการคนรัก ครอบครัว เพื่อนฝูง การงาน ธุรกิจ และสังคมไว้ได้เลย
- ทำงานวิจัยเพื่อให้เรียนจบ แน่นอนว่าหลักสูตรปริญญาโทต้องทำงานวิจัย (Research) เพื่อที่จะสามารถเรียนจบได้ ใครที่ไม่ชอบงานวิจัยต้องเตรียมตัวทำในส่ิงที่ตัวเองไม่ชอบได้เลย
- สุดท้ายเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเตรียมสมองให้พร้อมสำหรับเรื่องใหม่ๆ เรื่องยากๆ ที่เราต้องเจอและเรียนรู้ให้เร็ว แทบจะทั้งหมดก็จะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์การแพทย์ และที่สำคัญที่สุดเราต้องเรียนพร้อมกันกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเนื้อหา 90% ก็จะเหมือนกันในเชิงการเอาไปดูแลตัวเอง และอีก 10% ที่จะสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เพื่อเอาไปใช้รักษา
เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลรัฐ มีหรือเปล่า?
เวชศาสตร์ชะลอวัย เรียนที่ไหน | ปริญญาเอก
สำหรับหลักสูตรปริญญาเอกด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพในประเทศไทย ณ ตอนนี้มีอยู่ที่เดียว คือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แต่ผมก็ได้ยินว่าทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณทิตย์กำลังใกล้จะเปิดหลักสูตรปริญญาเอกแล้ว อยู่ในขั้นตอนทำเอกสารทางราชการ
หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจเซลล์ของคุณ
ในหนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ร่างกายของตัวเอง ว่าทำงานยังไง อะไรบ้างที่ทำให้แก่เร็ว อะไรบ้างที่ทำให้แก่ช้า และสุดท้ายจะทำยังไงให้ชะลอความแก่ชราออกไปให้นานที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ ผ่านจากเรียนรู้ทั้งหมด 7 บท คือ
- เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine)
- ทฤษฎีความชราในอดีต (Aging Theory in The Past)
- ทฤษฎีความชราในปัจจุบัน (Aging Theory in The Present)
- ปัจจัยที่เหนือกว่าพันธุกรรม (Epigenetic)
- ปัจจัยที่เร่งการแก่ชรา (Aging Force)
- ปัจจัยที่ยับยั้งการแก่ชรา (Anti-Aging Force)
- ใช้ชีวิตยังไงให้ชะลอวัย (How to Anti-Aging)
หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจฮอร์โมนของคุณ
ในหนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ฮอร์โมนที่มีอยู่ในร่างกายของตัวเอง ว่าทำงานยังไง อะไรบ้างที่ทำให้ฮอร์โมนมากเกินไป อะไรบ้างที่ทำให้ฮอร์โมนน้อยเกินไป และจะทำยังไงให้ฮอร์โมนทำงานสมบูรณ์ ผ่านจากเรียนรู้ทั้งหมด 20 บท คือ
- ความรู้พื้นฐานของระบบฮอร์โมน (Basic Concept of Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการต้านแก่ (Growth Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ (Melatonin Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการเผาผลาญพลังงานขั้นพื้นฐาน (Thyroid Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการอยู่รอด (Cortisol Hormone)
- แม่ของทุกฮอร์โมนประเภทไขมัน (Pregnenolone Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการควบคุมความดัน (Aldosterone Hormone)
- ฮอร์โมนเพศชายอย่างแรก (DHEA Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งความตกใจ โมโห หดหู่ (Catecholamines Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตไปข้างหน้า (Insulin Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการลดความอ้วน (Glucagon Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งความสุข (Dopamine-Endorphin-Oxytocin-Serotonin Hormone)
- ฮอร์โมนแห่งการอักเสบ (Prostaglandins Hormone)
- กลุ่มฮอร์โมนแห่งความเป็นเพศชาย (Androgen Group Hormone)
- กลุ่มฮอร์โมนแห่งความเป็นเพศหญิง (Estrogen Group Hormone)
- กลุ่มฮอร์โมนแห่งความแข็งแรงของกระดูก (Parathyroid-Calcitonin Hormone)
- ฮอร์โมนที่เกิดจากไขมันสะสม (Fat Hormone)
- ฮอร์โมนทุกอย่างทำงานร่วมกัน (Hormone Symphony)
- อาการที่ทำให้รู้ว่าฮอร์โมนเพี้ยน (Health Effect to Hormone Dysfunction)
- ทำยังไงให้ฮอร์โมนทำงานสมบูรณ์ (Lifestyle for Optimal Hormone)